บทสัมภาษณ์ ฝน Story Artist สาวไทยทำงานที่ Disney ผลงานเรื่อง Frozen

advertisements

Story Artist Disney

บทสัมภาษณ์พี่ฝน

1. พี่ฝนแนะนำตัวหน่อยครับ และเล่าเรื่องคร่าวๆ ของพี่ฝนหน่อยครับ ว่าพี่ไปอยู่ที่อเมริกา และไปเป็น Story Artist ที่ Disney ได้อย่างไร?

สวัสดีค่ะ พี่ชื่อ ประสานสุข วีระสุนทร พี่ใช้ชื่อเล่นเพื่อความสะดวกสำหรับทุกๆคนที่ทำงาน ในเครดิตจึงเป็น Fawn พี่เป็นเด็กเมืองชล เรียน ม.ปลายที่กรุงเทพฯ ส่วนตัวเเล้วพี่ชอบภาพยนตร์และชอบวาดรูป แต่เนื่องจากเรียนสายวิทย์มา มันดูไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนสายไปเอนท์ทางด้านศิลป์ พอถึงเวลาเอ็นทรานซ์ พี่เลยเอ็นท์ตามความนิยมของเด็กสายวิทย์ ไปเรียนที่มหิดล ทีนี้พอไม่ต้องเรียนพิเศษ ก็เลยมีเวลาว่างไปเรียนวาดรูปอย่างที่ชอบซะที พี่ไปลงเรียนคอร์สความถนัดศิลป์ที่สยามดิสคอร์เวอรี่ เรียนไปเรียนมาก็รู้สึกว่า เราอาจจะชอบเเนวนี้มากกว่าจริงๆ ความคิดที่จะซิ่วไปเรียนอนิเมชั่นก็เริ่มก่อตัวขึ้น แต่มหาวิทยาลัยในสายนี้ยังมีไม่มากในเมืองไทย (สิบสองปีที่แล้วอ่ะนะ)

ตอนนั้นจำได้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาที่เตรียมอุดมเคยพูดถึงรุ่นพี่คนนึงที่ทำงานที่ดิสนีย์ชื่อพี่ไพฑูรย์ รัตนศิรินทราวุธ เราจึงติดต่อขอคำแนะนำไปทางอีเมล์ และก็ได้ทราบว่าพี่เค้าเรียนที่ Columbus College of Art&Design (CCAD) ใน Ohio ตอนนั้นก็ได้พี่คนนี้เเหละที่เขียนจดหมายแนะนำตัวให้กับโรงเรียนนี้หลังจากเราส่ง portfolio ไปให้พี่เค้าดู CCADเป็นโรงเรียนศิลปะไม่กี่แห่งที่ให้ทุนการศึกษากับนักเรียนต่างชาติ พี่คิดว่าถ้าพี่ได้ทุน ทางบ้านพี่คงจะสบายใจขึ้นมาอีกนิดที่จะอนุญาติให้พี่ลาออกจากมหิดลไปเรียนสาขาประหลาดๆ เนี่ย คิดๆกลับไปแล้ว ถ้าตอนนั้นไม่รู้ว่ามีพี่คนไทยทำงานด้านนี้อยู่ เราก็คงไม่มีความหวังว่า เราเองจะมีโอกาสทางด้านนี้ แล้วพี่ก็โชคดีที่ทางบ้านเข้าใจและสนับสนุน

หลังจาก CCAD รับเข้าเรียนแล้วให้ทุนมาครี่งนึง พี่ก็ย้ายมาเรียน Animation ที่ Ohio พี่เริ่มชีวิตทำงานที่นี่ โดยทำ Flash อนิเมชั่นให้กับบริษัททาง interactive design หลังจากนั้นก็ย้ายไปทำ ทีวีอนิเมชั่น กับบริษัทเล็กๆที่ New York City ก่อนจะย้ายมาที่ Six point Harness Studios ใน Los Angeles ตอนนั้นพี่มีตำเเหน่งเป็นผู้กำกับทางอนิเมชั่น แล้วปรากฏว่าตำเเหน่งนี้ต้องทำ storyboard ด้วย ก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ก็แบบว่า เอาวะลองดู คิดไปว่ามันก็คงคล้ายๆ อนิเมชั่นแต่วาดแค่คีย์เฟรม แต่ทำไปทำมาก็เกิดชอบ จนตัดสินใจย้ายไปทำเเต่ทางนี้โดยตรง พี่ทำด้าน storyboard มาหลายสตูดิโอ ทั้ง Warner Bros, Nickelodeon, Illumination สุดท้ายก็มาลงเอยที่ Disney พี่ทำที่ดิสนีย์ ปีนี้เป็นปีที่สาม โดยที่ Frozen เป็นเครดิตหนังดิสนีย์เรื่องแรกของพี่ค่ะ

2. หน้าที่ของ Story Artist คืออะไรบ้างครับ แล้วมีกระบวนการทำงานเป็นยังไงครับ เวลาที่เราเขียน story boarding หรือ screen shot เนี่ยเราจะต้องนึกถึงอะไรบ้างครับ

advertisements

หนังเรื่องนึงก่อนจะเข้าโปรดักชั่น (โปรดักชั่น หมายถึง ช่วงตั้งแต่ layout ลงไปถึง lighting) จะเริ่มที่บทหนัง แล้วหลังจากนั้นพวกพี่จึงเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง งานที่พี่ทำคือการถ่ายทอดบท ออกมาเป็นภาพ คล้ายๆ กับนักวาดการ์ตูนสามช่องจบ แต่หนังเรื่องนึงมันมีหลายช่องกว่าจะจบ เราก็จะแบ่งงานกันไปในทีมงานประมาณ หก ถึง สิบคน ระหว่างนี้เราก็จะ pitch แต่ละ sequence ให้ทีม story artists ดู และวิพากษ์วิจารณ์กันเองหลายต่อหลายรอบ คนเขียนบทก็เขียนแล้วเขียนอีก ทุกๆ สามสี่เดือนทีเราจะฉาย story reel (บางที่ก็เรียก animatics) ให้คนแผนกอื่นๆ ที่สดูดิโอดู เพื่อที่พวกเค้าจะได้เขียนวิจารณ์กันมาได้อีก เพราะบางทีทีม story ดูมาหลายรอบ ก็บอกยากว่ามุขเดิมยังขำอยู่มั้ย กว่าหนังเรื่องนึงจะเสร็จเนี่ย ส่วนใหญ่จะผ่านมา หก-เจ็ดเวอร์ชั่น ทั้งหมดนี้เพื่อความชัวร์ว่า กว่าจะไปถึงแผนกโปรดักชั่น เนื้อเรื่องเราดูรู้เรื่อง ดูสนุก ประมาณว่าเร้าใจแต่มีสาระ สองสิ่งสำคัญที่พี่นึกถึงเวลาทำงานด้านนี้คือ

2.1. จะทำยังไงให้ซีนนี้มัน น่าสนใจ เศร้า ซึ้ง หรือ ตลก ยิ่งๆ ขึ้นไป
2.2. story sketch รูปนึงเนี่ย อยู่บนจอแค่ไม่ถึงวินาที เพราะฉะนั้นเวลาวาดทีก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะวาดยังไงให้คนดูเข้าใจไอเดียนี้ได้ง่ายที่สุด บางคนชอบจัดเต็ม ใส่หลายๆ อย่างเข้าไปเหมือนวาดภาพประกอบ บางทีคนดูงง เพราะไม่รู้จะมองที่ไหนก่อน

3. ชีวิตประจำวัน และการทำงานที่ Disney เป็นยังไงบ้างครับ แต่ละวันจะแตกต่างกันไป

ถ้าเป็นวันที่สงบๆ พี่จะมีเวลาวาดรูปเต็มวัน บางวันจะมี story meeting เพื่อดู sequence คนอื่นๆ แต่อย่างวันนี้ พี่มีประชุมเนื้อเรื่องทั้งวัน ยังไม่ได้วาดอะไรเลย ที่นี่เราพูดคุยถกเถียงกันเปิดเผย พี่ว่าเนื้อเรื่องจะสนุกเนี่ย ส่วนใหญ่มันมาจากชีวิตจริง ถ้าเป็นเรื่องที่ทุกคนเคยมีประสบการณ์มาก่อน คนดูจะมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น

การทำงานที่นี่มีข้อดีหลายอย่าง หลายคนที่นี่ทำงานมานาน เราเลยได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากพวกเค้า นอกจากนั้น ตลอดปีที่นี่จะเปิดสอนคอร์สทางศิลปะให้กับพนักงานช่วงพักกลางวัน หลักๆ เป็นพวก figure drawing, painting, acting บางทีก็มี sculpture แต่ที่พี่ชอบที่สุดคือ ดิสนีย์เก็บงานเก่าแก่ตั้งแต่ Snow White ไว้ที่ห้องสมุดกลาง ที่นี่เลยเป็นเหมือนขุมทรัพย์ความรู้ เป็นแรงบันดาลใจให้เราพยายามพัฒนาตัวเอง

4. พี่ฝนรู้สึกยังไงกับวงการแอนิเมชั่นไทยตอนนี้ยังไงบ้างครับ

ตอนพี่ฝึกงานที่เมืองไทย ตอนนั้นมีอนิเมชั่นสตูดิโอไม่กี่แห่ง แต่เดี๋ยวนี้วงการเจริญขึ้นมากๆ โอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่มีมากกว่าแต่ก่อน พี่ดีใจที่เห็นสตูดิโอหลายๆแห่งเริ่มทำ content ของตัวเอง แทนที่จะเป็น production company เหมือนเมื่อก่อน

5. ช่วยฝากอะไรถึงรุ่นน้องที่มีความฝันอยากทำงานแอนิเมชั่นหน่อยครับ

ตอนพี่จบมาใหม่ๆ พี่อยากทำงานกับ Disney ไม่ก็ Pixar แต่ portfolio พี่มันไม่ดีพอที่จะหางานระดับเดียวกับที่อยากได้ แต่เราก็ไม่ได้เลิกล้มความตั้งใจ ตอนนั้น digital animation เพิ่งจะเริ่มฮิต พี่เลยฝึกใช้ Flash จนได้งานแรก พี่สมัครงานที่ดิสนีย์ไปสามรอบ ก่อนจะได้งานนี้ ที่เล่ามาคืออยากจะบอกว่าถึงแม้คนเราอาจจะมีพรสวรรค์ไม่เท่ากัน แต่พรแสวงนี่มันสู้กันได้ด้วยความพยายาม ความอดทน รู้จักหาแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัว เพื่อจะได้มีแรงสร้างสรรค์อยู่เรื่อยๆ และที่สำคัญ อย่ากลัวคำวิจารณ์ บางคนเก็บงานไว้นานมาก รอจนกว่าทุกอย่างจะเพอร์เฟค ซึ่งในชีวิตคนทำงานศิลปะ ไม่มีอะไรที่เราทำเองแล้วจะคิดว่ามันเพอร์เฟคหรอกนะ น้อยมาก ทุกๆ ปีพี่จะทำ portfolio ทีนึง (ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สมัครงานที่ไหนก็เถอะ) เป็นการเช็คว่าปีที่ผ่านมาทำอะไรไปมั่ง ดีไม่ดียังไง แล้วอยากจะทำอะไรได้อีก เราจะได้มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน แข่งกับใครก็ไม่เท่าแข่งกับตัวเองค่ะ

ที่มา: www.facebook.com/pages/A-lot-of-Animation-References